ดีเอสไอจับนอมินีจีน สวมสิทธิ์ตั้ง 40 บริษัทในไทย ทุนกว่า 5 พันล้าน
2020.07.15
กรุงเทพฯ
ในวันพุธนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แถลงข่าวการจับกุม ขบวนการชาวจีนที่สวมสิทธิ์คนไทย เข้ามาทำธุรกิจต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว ในประเทศไทย เผยเปิดบริษัทบังหน้า 40 บริษัท มีทุนรวมทุกบริษัทกว่า 5 พันล้านบาท โดยเตรียมจะตรวจสอบเพิ่มกว่า 200 รายชื่อ ที่อาจเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวแก่สื่อมวลชนว่า ในช่วงเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และกรมการปกครอง ได้เข้าตรวจค้น บริษัท ไถ่ซี่ พัฒนา กรุ๊ป จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารเลอคองคอร์ด ถนนรัชดาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นบริษัทที่ขบวนการสวมสิทธิ์สัญชาติไทย ใช้ประกอบธุรกิจต้องห้ามของคนต่างด้าว โดยพบหลักฐานเชื่อมโยงอีก 40 บริษัท
“มีกลุ่มคนจีนเข้ามาถือสัญชาติในประเทศไทย คือมาสวมบัตรของคนไทย พอสวมบัตรเสร็จแล้ว จากการตรวจสอบเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 10 กว่าราย รายแรกก็คือ นายอาเปา เราพบว่า เฉพาะกลุ่มนี้กลุ่มเดียวไปจดทะเบียนบริษัทไว้ในเมืองไทยเบื้องต้นพบว่า 4 บริษัท เกี่ยวกับเรื่องพืชผลทางการเกษตร เรื่องเกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งคนต่างด้าวไม่สามารถทำได้ มีมูลค่าทรัพย์สินของทุนจดทะเบียนทั้งหมด 3 พันกว่าล้านบาท” พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าว
“เราพบว่ากลุ่มขบวนการนี้ น่าจะทำเป็นลักษณะมีกลุ่มทุนที่เข้าไปสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เราก็เลยตั้งเรื่องนี้แล้วว่า เรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ เพราะเรามองเห็นความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทย เพราะเป็นเรื่องค่อนข้างจะเสียหายมาก ประกอบอาชีพในเมืองไทย การไหลเงินเข้ามา เขาสามารถมีทุกอย่างที่คนไทยสามารถมีได้ ลักษณะแบบนี้เป็นเรื่องสุ่มเสี่ยงกับเรื่องความมั่นคงมาก พิจารณาเรื่องนี้แล้วเห็นว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะมีปัญหา พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวเพิ่มเติม
พ.ต.ท.กรวัชร์ ระบุว่า การเข้าตรวจค้นครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่พบหลักฐานว่า นายอาเปา แซ่เซิน ชายสัญชาติจีนได้สวมสิทธิ์สัญชาติไทย เปิดบริษัท 10 พลัส 1 กรุ๊ป จำกัด ประกอบธุรกิจขายส่งข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงสีข้าว, บริษัท อัมรินทร์ จีทีไอ จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง เพื่อการพักอาศัย, บริษัท ดียี่ เน็ทเวิร์ค เทคโนโลยี จำกัด ประกอบธุรกิจก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย และบริษัท ไถ่ซี่ พัฒนา กรุ๊ป จำกัด ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิด เป็นนายหน้าตัวแทนเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ซึ่งมีทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 3,600 ล้านบาท
จากการตรวจสอบยังพบว่า บริษัทของ นายอาเปา 3 จาก 4 บริษัท ไม่มีที่ตั้งอยู่จริงตามที่แจ้งไว้ มีเพียง บริษัท ไถ่ซี่ ที่มีสำนักงานและพนักงานจริง โดยมีการโอนหุ้นทั้ง 4 บริษัท ให้กับนายอาเปาทั้งหมด และพบว่า อาจจะมีบุคคลต่างด้าวเป็นนายทุนอยู่เบื้องหลัง สวมสิทธิ์เป็นคนไทยเข้ามาถือหุ้นในลักษณะเป็นตัวแทน โดยมีการกระจายจัดตั้งบริษัทอีก 40 แห่ง ทุนจดทะเบียนรวม 5,300 ล้านบาท
ด้าน นายวีระชาติ ดาริชาติ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง เปิดเผยว่า ขบวนการสวมสัญชาติไทยของคนต่างด้าวและทำธุรกิจในประเทศไทย ขบวนการนี้ได้รับการอำนวยความสะดวก โดยอดีตปลัดอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งปัจจุบัน ถูกจับกุมแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินคดีทางอาญา
“ได้ตัวปลัดอำเภอหนึ่งท่าน ซึ่งเป็นคนดำเนินการ เป็นคนอนุญาต อนุมัติลงรายงาน ถูกคำสั่งทางวินัย ไล่ออกจากราชการไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินการทางอาญา… ระยะเวลาในการทำ (สวมสิทธิ์) น่าจะ 1-2 ปี ตอนนี้เพิกถอนสิทธิ์ไป 10 ราย ส่วนอีก 200 กว่าราย (เฉพาะของอำเภอเวียงแก่น) ก็แสดงสิทธิ์กันอยู่ ทุกวันนี้กำลังตรวจสอบจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดน” นายวีระชาติ กล่าว
นายวีระชาติ ระบุว่า จากข้อมูลเอกสารมีบุคคล 255 คน ที่ขอลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน กับอำเภอเวียงแก่น ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2556 - 31 ธันวาคม 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่พบความผิดปกติ ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบว่า ทั้งหมดเป็นการสวมสิทธิ์ใช้สัญชาติไทย และมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการบริษัทข้ามชาติหรือไม่
การดำเนินคดีเรื่องนี้ เริ่มต้นจากการที่สถานกงสุลไทยในเขตปกครองมาเก๊า ประเทศจีน พบข้อเท็จจริงกรณีมีบุคคลถือหนังสือเดินทาง 2 ฉบับ คือ ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และไทย ซึ่งมีความผิดปกติ จึงส่งต่อให้ส่วน 2 ดีเอสไอ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบข้อมูลที่เชื่อได้ว่า เป็นการสวมสิทธิ์สัญชาติไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงได้ดำเนินการตรวจสอบและพบบุคคลต้องสงสัย 9 ราย ถือหุ้นอยู่ในบริษัทนิติบุคคลของไทย นำไปสู่การตรวจสอบบริษัทที่เกี่ยวข้องดังกล่าวในวันนี้