ปส. แถลงจับยาเสพติดมุ่งหน้ามาเลเซีย ก่อนกระจายไปทั่วโลก
2018.09.18
กรุงเทพฯ
ตำรวจปราบปรามยาเสพติด แถลงผลการจับกุมยาเสพติด มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท จากการปฏิบัติการในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดระบุว่า เป็นล็อตที่กำลังมุ่งหน้าไปส่งยังประเทศมาเลเซีย ก่อนส่งออกทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ ตำรวจไทยยังได้ร่วมมือกับตำรวจมาเลเซียทลายโรงงานผลิตและศูนย์กระจายยาเสพติดในรัฐปีนัง ที่มาเลเซียระบุว่า เป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศตั้งแต่ปี 1996
พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยกับเบนาร์นิวส์ ในวันนี้ว่า ยาเสพติดที่จับได้พร้อมผู้ต้องหา 13 ราย ประกอบด้วย ยาบ้า 10,000,000 เม็ด เฮโรอีน 37 กิโลกรัม ไอซ์ 2.06 กิโลกรัม และกัญชา 917 กิโลกรัม เป็นของเครือข่ายเดิมที่ต้องการนำไปส่งยังประเทศมาเลเซีย
พล.ต.ท.สมหมาย กล่าวอีกว่า จากปฏิบัติการร่วมกันระหว่างตำรวจปราบปรามยาเสพติดมาเลเซียและของไทย ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อจับกุมทลายเครือข่ายนี้ ทำให้สามารถปิดโรงงานผลิต Erimin-5 ที่เกาะปีนัง ในประเทศมาเลเซียได้ หลังจากพบว่าโรงงานแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางในการนำเข้ายาเสพติดจากประเทศพม่าและผลิตยาเสพติด แล้วกระจายไปยังประเทศต่างๆ ของภูมิภาคนี้
“เราจำเป็นต้องไปร่วมกับมาเลเซียในการปิดล้อม ตรวจค้น ยึด ปิดโรงงานผลิตยาเสพติดที่ปีนัง ซึ่งตัวยาเสพติดที่ตกค้างอยู่สามารถนำไปผลิตยาเสพติดให้คนได้ 5 ล้านคน... บรรจุเสร็จส่งไปประเทศอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์” พล.ต.ท.สมหมาย ระบุ
สำหรับปฏิบัติการร่วมระหว่างตำรวจปราบปรามยาเสพติดของสองประเทศ เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2561 ที่ทาง บช.ปส.ของไทย ได้รับเเจ้งจากทางตำรวจปราบปรามยาเสพติดของมาเลเซียให้ติดตามตัว Mr. Lee Wooi Keong เเละ Ms. Tan Sook Chwen ที่เดินทางจากฮ่องกง มายังสนามบินสุวรรณภูมิ และได้ติดตามไปจนพบว่าเป้าหมายได้เข้าพักที่โรงแรมย่านประตูน้ำ จนกระทั่งออกเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้ง เพื่อเดินทางต่อไปยังหาดใหญ่ และถึงเบตง เพื่อเดินทางข้ามชายแดนไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้ประสานให้ทางตำรวจมาเลเซียรับช่วงต่อ เพื่อควบคุมตัวเป้าหมายได้ ขณะข้ามชายแดนฝั่งมาเลเซีย และนำตัวไปสืบสวนสอบสวนขยายผล จนเป้าหมายยอมรับสารภาพว่า เป็นผู้ค้ายาเสพติด
ในวันที่ 12 กันยายน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียได้นำตัว นาย Lee Wooi Keong ไปยังโรงงานที่รัฐปีนัง เจอห้องแลบ ผลิตยาเสพติด อีริมิน-5 โดยนาย Lee Wooi Keong ยอมรับว่าตนเองเป็นเจ้าของ ซึ่งดาโต๊ะ ศรี โมหมัด ซาเละ ผู้อำนวยการแผนสืบสวนยาเสพติดสถานีตำรวจเสรีบัง เปรัย กล่าวว่า เป็นการจับกุมครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่ปี 1996
“ในโรงงาน ทีมเราพบอีริมิน-5 จำนวน 2.13 ล้านเม็ด ผงอีริมิน 724.6 กิโลกรัม Syabu (อนุพันธ์ของเมท) ยาอี 5,080 เม็ด และน้ำยาเคมี 53.7 กิโลกรัม” ดาโต๊ะ ศรี โมหมัด กล่าวและระบุว่าของกลางที่ยึดได้มีมูลค่ารวมกันถึง 72.5 ล้านริงกิต หรือราว 570.2 ล้านบาท
พล.ต.ต.ทนัย อภิชาตเสนีย์ รองผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับเบนาร์นิวส์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส. ของไทย ได้ดำเนินการในส่วนของการติดตาม ถอดร่องรอยการเดินทาง การสื่อสารจาก What’s App และ Line App และการใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเบอร์ของประเทศไทย ความเกี่ยวโยงด้านการเงิน จนกระทั่งสามารถขยายผลไปจนถึงการทลายห้องปฏิบัติการ โรงงานในรัฐปีนัง ซึ่งพบบัญชีลูกค้าเครื่องจักรอีดฉีดพลาสติกที่เป็นคำสั่งซื้อจากจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อส่งไปให้ชาวจีนในต่างประเทศ โดยมีผู้โยงใยเป็นคนจีนกลาง จากแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน คนจีนในฮ่องกง มาเก๊า และกวางโจว
รองผู้บัญชาการ บช.ปส.ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ ระบุว่าโรงงานแห่งนี้ จะสั่งเครื่องจักรฉีดพลาสติกมา แล้วถอดชิ้นส่วนข้างในออก แล้วใส่ยาไอซ์ที่ลำเลียงมาจากพม่าใส่เข้าไปแทน โดยเครื่องหนึ่งสามารถใส่ยาไอซ์เข้าไปได้ประมาณ 500 กิโลกรัม ถึง 1 ตัน แล้วส่งไปยังต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าที่ผ่านมาส่งออกไปแล้วอย่างน้อย 50 เครื่อง
“จากการทลายโรงงานครั้งนี้ ทำให้เรามีหลักฐานชัดเจนที่ยืนยันได้ว่า โรงงานที่ปีนังเป็นศูนย์กลาง เป็นฮับในการผลิตและกระจายยาเพสติดไปทั้งภูมิภาค และเป็นหลักฐานชัดเจนว่า ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศผู้เสพยาเสพติด ที่รับยาจากโรงงานที่ปีนัง ซึ่งลำเลียงมาจากว้าทางพม่า” พล.ต.ต.ทนัย กล่าวกับเบนาร์นิวส์
“การทลายฮับการผลิตและกระจายยาเสพติดในรัฐปีนังนี้ เชื่อว่าเป็นการทำลายการกระจายยาเสพติดไปยังประเทศรอบภูมิภาคนี้” รองผู้บัญชาการ ปส. ระบุ
“การทำงานลักษณะ joint operation แบบนี้ จะมีมากขึ้น และเข้มข้นขึ้นไปอีก” พล.ต.ท.สมหมาย กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่ข้อมูลสถิติผลการจับกุมคดียาเสพติดประจำปีงบประมาณ 2561 ของ บช.ปส. ระบุยอดรวมการจับกุมคดียาเสพติดจำนวนทั้งสิ้น 2,018 คดี มีมูลค่ายาเสพติดของกลางที่ บช.ปส. ไทยยึดได้รวมทั้งสิ้น 12,124,821,900 บาท