ศาลสั่งจำคุกจำเลย 9 ราย ยกฟ้อง 5 ราย คดีระเบิดน้ำบูดู
2018.09.25
กรุงเทพฯ
ในวันอังคารนี้ ศาลอาญา พิพากษาจำคุกจำเลย 9 ราย จากจำนวน 14 ราย ในความผิดฐานร่วมกันอั้งยี่ ซ่องโจร และครอบครองวัตถุระเบิด เป็นเวลา 4 ถึง 6 ปี จากการถูกกล่าวหาว่าร่วมกันวางแผนก่อเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อปี 2559 โดยศาลได้ยกฟ้องจำเลย 5 ราย
ศาลได้พิพากษาจำคุก นายมูบาห์รี กะนา จำเลยที่สาม สูงสุดเป็นเวลา 6 ปี ในสามข้อหา เพราะพบหลักฐานว่าเป็นร่องรอยของสารพี.อี.ที.เอ็น. ซึ่งเป็นส่วนประกอบของระเบิดที่มือทั้งสองข้าง ส่วนอีก 8 คน ถูกสั่งจำคุกคนละ 4 ปี ในข้อหาอั้งยี่และซ่องโจร
“จำเลยที่ 1-2, 4 และ 9-13 เชื่อว่ามีความผิดจริงในข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร จำเลยที่ 3 เชื่อว่ามีความผิดจริงในข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร และมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากการตรวจสอบพบสาร พี.อี.ที.เอ็น. ซึ่งเป็นส่วนประกอบของระเบิด และไม่สามารถพบได้ทั่วไป จากมือข้างซ้ายและขวาของจำเลย” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาโดยสรุประบุ
“คำกล่าวอ้างเลื่อนลอยของจำเลยอ้างว่า ถูกข่มขู่และบังคับให้รับสารภาพ เชื่อไม่ได้ เนื่องจากไม่พบร่องรอยบนร่างกาย และแม้ไม่พบวัตถุระเบิด แต่จากการพบสารประกอบระเบิดบนร่างกาย ทำให้เชื่อได้ว่า จำเลยที่ 3 ครอบครองระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ขณะที่จำเลยที่ 5-8 และ 14 ไม่พบความเกี่ยวข้องกับขบวนการ ให้ยกฟ้อง” คำพิพากษาโดยสรุประบุ
ในรายละเอียดคำพิพากษา มีดังนี้ คำพิพากษาตัดสินให้ลงโทษจำเลยในความผิดร่วมกันอั้งยี่ 1 กรรม จำคุก 3 ปี ร่วมกันเป็นซ่องโจร 1 กรรม จำคุก 3 ปี และมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย 1 กรรม จำคุก 3 ปี แต่จำเลยให้การอันเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการพิจารณา ให้ลดโทษ 1 ใน 3 ของแต่ละกรรม รวมให้จำคุก จำเลยที่ 1-2,4 และ 9-13 ทั้งสิ้น 4 ปี และจำเลยที่ 3 ทั้งสิ้น 6 ปี โดย จำเลยที่ 5-8 และ 14 ให้ปล่อยตัวระหว่างการรอยื่นอุทธรณ์ ขณะที่จำเลยรายอื่นจะถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
คดีหมายเลขดำที่ อ.561/2560 หรือที่สื่อมวลชนเรียกว่า “คดีระเบิดน้ำบูดู” คือ คดีที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมตัวนักศึกษา และประชาชนชาวไทย-มุสลิม ใกล้มหาวิทยาลัยรามคำแหงกว่า 40 ราย ในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งข่าวจากหน่วยข่าวกรองความมั่นคงว่า คนกลุ่มดังกล่าวมีการซ่องสุม และวางแผนวางก่อเหตุคาร์บอมบ์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล นำไปสู่การขยายผลจับกุมผู้ต้องสงสัยอีกจำนวนหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดนราธิวาส แต่จากการสอบสวนและตรวจค้นในชั้นต้น เจ้าหน้าที่ไม่พบวัตถุระเบิด หรือวัตถุประกอบระเบิดโดยตรง พบเพียงกล่องบรรจุอาหารพื้นเมือง ข้าวยำ และน้ำบูดู
เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 กฎอัยการศึก และพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยบางรายเข้าสู่กระบวนการซักถาม ในพื้นที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) กรุงเทพฯ และ ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ต่อมา พล.ต.วิจารณ์ จดแตง เจ้าพนักงานฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้ฟ้องร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาผิดผู้ต้องสงสัยซึ่งประกอบด้วย นายตาลมีซี โต๊ะตาหยง และพวกรวม 14 คน ในข้อกล่าวหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันเป็นซ่องโจร และมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ก่อนที่คดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาในปี 2560
นางฮานีละห์ ดือรามะ มารดาของนายอุสมาน กาเด็งหะยี จำเลยที่ 4 กล่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังฟังคำพิพากษาว่า บุตรชายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย
“ที่แม่น้อยใจก็คือ แค่เราเป็นคนสามจังหวัด เขาไม่เชื่อเลยเหรอ โดนอะไรมาบ้าง เราพูดความจริงเขาก็ไม่เชื่อ มันเหนื่อย แม่เชื่อว่าลูกแม่ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย เขามาทำงานที่กรุงเทพฯ มันเป็นความผิดของแม่ด้วยที่ให้เขามาทำงานที่กรุงเทพฯ ทั้งที่เขาไม่อยากมา” นางฮานีละห์ กล่าว
ด้าน นายกิจจา อาลีอิสเฮาะ ทนายความในคดีจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าวว่า กลุ่มทนายความจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน และยังยืนยันว่าจำเลยหลายคนบอกกับตนและศาลว่าถูกซ้อมทรมานระหว่างการควบคุมตัวในค่ายทหารจริงๆ
“เกือบทุกคนที่เบิกความในชั้นสืบพยานจำเลย บอกว่าถูกซ้อมทรมานในชั้นกฎหมายพิเศษกรุงเทพฯ ถึงค่ายอิงคยุทธฯ ก็มี ผมให้เขาเขียนรายละเอียด เขาก็บอกว่ามีการปิดหู ตบบ้องหู ให้อยู่ในห้องเย็น เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำ คือทำยังไงก็ได้ไม่ให้เกิดบาดแผล” นายกิจจากล่าว
ขณะเดียวกัน น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม หนึ่งในผู้สังเกตการณ์การอ่านคำพิพากษาในวันนี้กล่าวว่า การใช้หลักฐานจากคำให้การของจำเลยระหว่างถูกควบคุมตัวโดยกฎหมายพิเศษ เป็นเรื่องอันตรายกับกระบวนการยุติธรรม เพราะกระบวนซักถามในค่ายทหาร ไม่มีพยานจากหน่วยงานอื่นรู้เห็นกับการทำให้รับสารภาพ
“เมื่อสองปีที่แล้ว มีคำพิพากษาศาลฎีกา พิพากษาโดยเชื่อหลักฐานจากกระบวนการซักถาม เลยกลายเป็นบรรทัดฐานให้กระบวนการยุติธรรมทั้งหมดโน้มเอียงไปทางโน้น เมื่อประชาชนฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ในข้อหาซ้อมทรมาน มีหลายกรณีที่ชนะในคดีแพ่ง ได้รับเงินชดเชย แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ถูกพิพากษาให้รับโทษทางอาญา ผู้ถูกทรมานหลายคนไม่เอาความทางอาญา เพราะพอใจที่ได้รับการชดเชยเป็นเงินแล้ว” น.ส.พรเพ็ญ กล่าว
สำหรับผู้ที่มาฟังคำพิพากษา ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีผู้ต้องหาทั้งหมด 14 ราย สมาชิกครอบครัว ผู้สังเกตการณ์ และสื่อมวลชนร่วมฟังคำพิพากษากว่า 40 คน