ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 6 วัยรุ่น ในข้อหาหมิ่นฯ เผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ขอนแก่น
2018.09.20
กรุงเทพฯ
ในวันพฤหัสบดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จังหวัดขอนแก่น ได้อ่านคำพิพากษายกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่วัยรุ่น 6 คน วางเพลิงเผาทำลายซุ้มเฉลิมพระเกียรติซึ่งประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 ใน อ.ชนบท และ อ.บ้านไผ่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 เพราะศาลเห็นว่าไม่มีเจตนา แต่พิพากษายืนในความผิดซ่องโจร และวางเพลิงทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหาย
โดยสำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-6 ซึ่งประกอบด้วย นายไตรเทพ(นามสมมติ), ฟลุ้ค(นามสมมติ), ฟิล์ม(นามสมมติ), เบล(นามสมมติ), แทน(นามสมมติ) และ เต้ย(นามสมมติ) ที่เป็นวัยรุ่นอายุระหว่าง 18-20 ปี มีความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ซ่องโจร และวางเพลิงทำให้ทรัพย์สินราชการเสียหาย จึงสั่งให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1, 3-6 เป็นเวลา 5 ปี 20 เดือน แต่ลดโทษจากการรับสารภาพเหลือ 2 ปี 16 เดือน และจำเลยที่ 2 จำคุกเป็นเวลา 10 ปี แต่ลดโทษจากการรับสารภาพเหลือ 5 ปี ซึ่งทนายจำเลยได้ยื่นขออุทธรณ์ แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ เพื่อขอโอกาสให้จำเลยทั้งหกปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม พร้อมทั้งดูแลครอบครัวต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่สังคมมากกว่าการจำคุก
วันนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงได้อ่านคำพิพากษา หลังพิจารณาคำขออุทธรณ์ โดยพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ยกฟ้องในข้อหาความผิดหมิ่นเบื้องสูง แต่ยังเห็นว่า ทั้งหมดมีความผิดจริงในข้อหาวางเพลิง และซ่องโจร
“การกระทำของจำเลยทั้งหก มุ่งประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน อันได้แก่ ซุ้มประตูซึ่งเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนตำบลหินตั้งเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งหกมีความมุ่งหมายที่จะกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งหกในส่วนนี้ จึงเป็นความผิดเพียงฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น” ตอนหนึ่งของคำพิพากษาระบุ
“ความผิดฐานซ่องโจร จำเลยทั้งหกมีความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น กับความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ให้ลงโทษฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด โดยรวมโทษกับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1, 3-6 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน” คำพิพากษาระบุ
ศาลได้พิจารณาคำร้องของทนายความที่ให้รอการลงโทษจำเลยทั้งหมด แต่พบว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่อุกอาจ เห็นควรให้ลงโทษให้หลาบจำ จึงไม่ให้รอการลงโทษ และยังสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายยืนตามจำนวนที่ศาลชั้นต้นสั่ง ซึ่งเป็นค่าเสียหายจากการทำลายซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ 3 ซุ้ม แบ่งเป็นพื้นที่ อ.ชนบท 2 ซุ้ม และ อ.บ้านไผ่ 1 ซุ้ม รวมเป็นเงิน 958,117.72 บาท ด้วย
น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ผ่านโทรศัพท์ว่า จำเลยทั้งหมดถูกควบคุมตัวมาแล้วเป็นเวลากว่า 1 ปี สำหรับขั้นตอนตามกฎหมายต้องรออีก 30 วัน จึงจะทราบว่า อัยการซึ่งเป็นโจทก์จะยื่นขอฎีกาคดีนี้หรือไม่
“จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหมดถูกควบคุมตัวที่เรือนจำ อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น โดยรับโทษจำคุกมาแล้ว 1 ปี กับอีก 2 เดือนเศษ คำพิพากษาจำคุกวันนี้ก็หักลบจากโทษที่จำคุกไปแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 1, 3-6 จะเหลือโทษจำคุกประมาณ 1 ปี 10 เดือน ขณะที่ จำเลยที่ 2 เหลือจำคุกราว 3 ปี 4 เดือน” น.ส.ภาวิณีกล่าว
เจ้าหน้าที่ศูนย์ทนายความฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คดีวางเพลิงซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ยังมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีก 3 คน ประกอบด้วย นายปรีชา (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี และนายสาโรจน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นผู้จ้างวานให้วัยรุ่นทั้ง 6 รายเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในเดือนมิถุนายน 2561 ยกฟ้องความผิดข้อหาหมิ่นเบื้องสูง แต่มีความผิดฐานร่วมวางเพลิงเผาทำลาย และซ่องโจร ให้จำคุก 10 ปี แต่ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากให้การสารภาพ เหลือจำคุก 5 ปี
และผู้เกี่ยวข้องอีกหนึ่งราย คือ ด.ช.อภิสิทธื์ (สงวนนามสกุล) อายุ 14 ปี ซึ่งศาลเยาวชน จังหวัดขอนแก่น ได้ตัดสินว่า มีความผิดในการร่วมกันวางเพลิง ถูกคุมตัวในสถานพินิจเป็นเวลา 90 วัน และหลังจากนั้นให้รายงานตัวต่อศาลทุกเดือนเป็นเวลา 6 เดือน
โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2557-2561 มีผู้ถูกดำเนินคดี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างน้อย 94 ราย มีเพียง 15 รายเท่านั้น ที่ได้รับการประกันตัว ถูกพิพากษาแล้ว 43 ราย มีถึง 39 ราย ที่จำเลยสารภาพ เพื่อให้คดีสิ้นสุดเร็ว