ศาลสั่งคุก 1 ปี เปรมชัยไม่รอลงอาญา คดีติดสินบนเจ้าพนักงาน

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2019.06.11
กรุงเทพฯ
190611-TH-premchai-800.jpg นายเปรมชัย กรรณสูต เดินทางออกจากศาลจังหวัดทองผาภูมิ หลังฟังการสืบพยานจำเลย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2561
นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์

ในวันอังคารนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีคำพิพากษาให้จำคุกนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา จากความผิดที่นายเปรมชัย พยายามจะให้สินบนเจ้าหน้าที่หลังถูกจับได้ว่า ลักลอบล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2561 โดยยกฟ้องนายยงค์ โดดเครือ คนขับรถของนายเปรมชัย

คดีนี้ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเปรมชัย เป็นจำเลยที่ 1 และนายยงค์ จำเลยที่ 2 ในความผิดต่อเจ้าพนักงานข้อหาร่วมกัน ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ฯ โดยขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 83 และให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีคดีล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร (คดีล่าเสือดำ)  ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดีในชั้นศาล

ศาลพิเคราะห์แล้วสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ มีนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก เป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันข้อความที่จำเลยที่ 1 พูดต่อนายวิเชียรว่า จะให้นายนพดล พฤกษะวัน มาเคลียร์ มีหนทางช่วยเหลือกันหน่อยได้ไหม มีเงื่อนไขอะไรไหม ถ้าปล่อยพวกผมอยากได้อะไร ผมก็จะหามาให้ โดยมีพยานปากอื่นเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1 พูดข้อความดังกล่าวต่อนายวิเชียร” ตอนหนึ่งของคำพิพากษา ระบุ

“พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 พูดหลังจากที่ตนเองโดนจับ แม้ข้อความจะไม่ได้ระบุว่าจะให้อะไรโดยตรงก็ตาม แต่น่าจะสื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 ต้องให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเป็นการตอบแทนเพื่อให้ปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ไป การกระทำของจำเลยที่ 1 นั้นมีลักษณะเป็นการขอให้ หรือ รับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการอันมิชอบด้วยอันเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 ตามฟ้อง” คำพิพากษา ระบุ

คำพิพากษาความผิดของจำเลยที่ 2 ระบุว่า จำเลยที่ 2 ได้พูดคุยกับพยานโจทก์ 2 คน คือนายจิตติ สวัสดิ์สาย นายศุภกิต พรหมมี เป็นการสนทนาพูดคุยในระหว่างกันเองโดยลำพังเท่านั้น ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นด้วยแต่ประการใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

“ดังนั้น ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 จำคุก 1 ปี ให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีล่าเสือดำ คดีอาญาหมายเลยแดงที่ อ.63/2562 ของศาลจังหวัดทองผาภูมิ ส่วนโจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1143/2561 และ อ.1144/2561 ของศาลอาญานั้น เนื่องจากคดีทั้งสองดังกล่าว ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาจึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2” คำพิพากษาระบุ

คำพิพากษาวันนี้ ทำให้ นายเปรมชัย ซึ่งถูกพิพากษาจำคุก 16 เดือน จากคดีล่าเสือดำ มีโทษจำคุกรวมทั้งหมด 2 ปี 4 เดือน เมื่อนับต่อจากโทษจำคุกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ของศาลจังหวัดทองผาภูมิ

อย่างไรก็ตาม ศาลอนุญาตให้ประกันตัว นายเปรมชัย ด้วยวงเงิน 200,000 บาท มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ก่อนได้รับอนุญาต หลังจากได้รับการประกันตัว

นายเปรมชัย กล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆว่า “สุขภาพไม่ดี เจ็บขา และจะยื่นอุทธรณ์” แล้วเดินทางออกจากศาลทันที

ด้าน นายทนง ตะภา อัยการเชี่ยวชาญคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 กล่าวแก่สื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นการอ่านคำพิพากษาว่า หลังจากนี้ คณะทำงานของอัยการจะได้นำคำพิพากษาไปพูดคุยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องนายยงค์ อย่างไรก็ตามคำพิพากษาวันนี้เป็นเพียงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยยังมีสิทธิ์ที่จะสู้คดีจนถึงที่สุด

“คำพิพากษาที่บอกให้นับโทษต่อ หมายถึงว่า ต้องรับโทษทั้งที่ทองผาภูมิ และพอจบที่ทองผาภูมิก็มานับโทษคดีนี้ต่อ แต่นั่นหมายถึงว่าคดีต้องถึงที่สุดก่อน และต้องรอฟังผลก่อนว่าศาลท่านจะพิพากษาว่าไง ในส่วนของอุทธรณ์ และฎีกา… แต่ ณ ตอนนี้คดียังไม่ถึงที่สุด ตอนนี้ เลยยังบอกไม่ได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะช่วงนี้เป็นช่วงของศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเท่านั้นเอง” นายทนง กล่าว

คดีติดสินบน และคดีล่าเสือดำของนายเปรมชัยนั้น เป็นคดีที่สืบเนื่องจากเหตุการณ์ในคืนวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 ที่นายเปรมชัย กรรณสูต และพวกอีกสามราย ถูกเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรควบคุมตัว เนื่องจากพบซากไก่ฟ้าหลังเทา หมูป่า และเสือดำ พร้อมอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ใกล้บริเวณเต๊นท์ค้างแรมของคนกลุ่มดังกล่าว ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร

ต่อมา คดีล่าเสือดำมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 ให้นายเปรมชัย จำเลยที่ 1 จำคุกเป็นเวลา 16 เดือน นายยงค์ จำเลยที่ 2 จำคุก 13 เดือน นางนที เรียมแสน จำเลยที่ 3 จำคุก 4 เดือน และนายธานี ทุมมาศ จำเลยที่ 4 จำคุก 2 ปี 17 เดือน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดได้ประกันตัวเพื่อต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์

นอกจากนี้ นายเปรมชัยยังมีคดีที่เกี่ยวข้องในฐานะจำเลย และผู้ต้องหาอีก คือ คดีที่ศาลอาญา กรุงเทพฯ ในข้อหาครอบครองงาช้างแอฟริกา โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเบื้องต้นนายเปรมชัยปฏิเสธข้อกล่าวหา และคดีจากความผิดในการมีอาวุธปืนยาวไรเฟิลจำนวน 3 กระบอก และปืนแก๊บ 1 กระบอก ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่ง นายเปรมชัยได้ให้การปฎิเสธ เช่นกัน

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง