รัฐบาลไทยออกพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558

โดย ทีมข่าวเบนาร์นิวส์
2015.07.15
TH-protest-law-620 ผู้ประท้วงขับไล่นายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังพยายามล้มแท่งคอนกรีตด้านสะพานชมัยมรุเชษฐ์ หมายยึดทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 2 ธ.ค. 2556
เบนาร์นิวส์

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ออกพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยมีการประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เพื่อเป็นการจัดระเบียบการชุมนุมประท้วงของกลุ่มการเมืองต่างๆ อันสืบเนื่องมาจากการเดินขบวนขับไล่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร โดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เริ่มขึ้นในปี 2548 จนนำมาสู่การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน ปีถัดมา

ภายหลังจากนั้น มีการต่อสู้ทางการเมืองจนมีเหตุการณ์รุนแรง ในการเคลื่อนไหวของทั้งฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ และฝ่ายต่อต้านพรรคประชาธิปัตย์ หรือฝ่ายทหารเมื่อมีการรัฐประหารขึ้น

พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว มี 35 มาตรา ตามมาตรา 4 ได้ให้คำนิยามของการชุมนุมสาธารณะว่า หมายถึง การชุมนุมของบุคคลใดในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้อง สนุบสนุน คัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถร่วมการชุมนุมนั้นได้ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่

ส่วนสาระสำคัญในพระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้มีกล่าวไว้ อาทิ ในมาตรา 6 ที่ว่า การชุมนุมสาธารณะ จะต้องเป็นไปด้วยความสงบและปราศจากอาวุธ  มาตรา 7 การชุมนุม ต้องห่างจากพระบรมมหาราชวัง พระราชวัง หรือวัง ไม่น้อยกว่า 150 เมตร นอกจากนั้น ยังห้ามชุมนุมในพื้นที่ของรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และศาล อีกทั้งการชุมนุมต้องไม่ปิดกั้นหรือรบกวนการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ส่วนในมาตรา 10  ผู้ชุมนุมจะต้องแจ้งวัตถุประสงค์ วัน เวลา และสถานที่ชุมนุมให้ทางการทราบตามวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

ในมาตรา 34 มีสาระสำคัญในการห้ามมิให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะนำพาอาวุธเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม หากมีอาวุธปืน วัตถุระเบิด หรือวัตถุที่มีสภาพคล้ายคลึงกัน จะต้องโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง