พบหลุมศพเรียงราย เหยื่อค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย
2015.05.01
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปาดังเบซาร์ พบหลุมฝังศพ (ร่องรอยเหมือนหลุมศพ) จำนวน 31 หลุม คาดว่าน่าจะเป็นหลุมฝังศพชาวโรฮิงญามุสลิม บนเขา ในป่าใกล้กับชายแดนไทย-มาเลเซีย
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบอีก 1 ศพ นอนตาย อยู่บนดินในบริเวณแคมป์ และพบผู้รอดชีวิต 1 คน ชาวโรฮิงญา เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มาจากบังคลาเทศ
เจ้าหน้าที่คาดว่า เหยื่อที่ตายทั้ง 32 ราย เป็นกลุ่มโรฮิงญาที่ถูกลักลอบนำพา เข้ามากับขบวนการค้ามนุษย์ แต่คาดว่าอดอาหารตาย ในขณะหลบซ่อนอยู่ในแคมป์ ที่ตำบล ปาดังเบซาร์ ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ระหว่างรอข้ามพรมแดนไปมาเลเซีย
สถานที่พบศพ เป็นเพิงพักชั่วคราว ห่างจากชายแดนมาเลเซีย ประมาณ 300 เมตรในเขตบ้านตะโล๊ะ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา
กองกำลังเดินเท้าเข้าป่าอีกหนึ่งชั่วโมง
พันตำรวจเอกวีรสันต์ ธารเปี่ยม ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ กล่าวว่า “เมื่อวานได้รับแจ้งจากเพื่อนโรฮิงญา (เครือข่ายช่วยเหลือโรฮิงญา จังหวัดสงขลา) ว่าบริเวณเกิดเหตุ วันนี้มีกลุ่มบุคคล ได้ควบคุมชาวโรฮิงญาไว้ในแคมป์หลายคน ขอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลือเพื่อนชาวโรฮิงญา
และในวันนี้ที่ 1 พ.ค. 2558 เวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่กว่า 88 นาย ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรปาดังเบซาร์ พร้อมตำรวจตระเวนชายแดน เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน และชุดกู้ชีพกู้ภัยไม้ขม อำเภอสะเดา ได้นำกำลังเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งต้องเดินเท้าจากถนนใหญ่เข้าไปบนภูเขา ระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตร ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จึงพบแคมป์ จำนวน 34 หลัง เป็นโรงนอน 26 หลัง นอกจากนั้นเป็น ห้องน้ำ ห้องครัว ลักษณะเพิ่งถูกทิ้งร้าง ตั้งอยู่ในบริเวณ 2 ไร่
เจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้รอดชีวิต 1 คน ชื่อ นายตู ดอน คา อายุ 26 ปี ชาวบังคลาเทศ นอนอยู่ในแคมป์ สภาพอิดโรย และมีอาการป่วยในขั้นรุนแรง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เจ้าหน้าที่จึงเข้าช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล และจากการสอบถามพบว่า ก่อนหน้านี้มีชาวโรฮิงญาถูกควบคุมตัว ประมาณ 100 คน ผู้ควบคุมได้พาหลบหนี ไปก่อนหน้านี้ และพบหลุมศพของชาวโรฮิงญา อีก 30 กว่าหลุม มีทั้งหลุมเก่าและใหม่ ถูกฝังเรียงราย น่าจะเป็นระยะเวลานาน ไม่ได้เสียชีวิตในคราวเดียวกัน
ข้อมูลจากเฟสบุ๊กของ ศูนย์กู้ชีพกู้ภัยไม้ขม อำเภอสะเดา หนึ่งในชุดเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาช่วยขุดศพวันนี้ มีข้อความว่า เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยหลายฝ่าย สามารถขุดศพขึ้นมาได้ทั้งหมด 5 ศพ และผู้เสียชีวิตอีก 1 ศพ ที่ยังไม่ได้ฝัง ถูกส่งพิสูจน์ พร้อมนำผู้รอดชีวิต 1 ราย ส่งโรงพยาบาลในจังหวัดสงขลา
เจ้าหน้าที่ได้ยกเลิกภารกิจขุดศพแล้ว และจะทำการขุดศพใหม่ในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากต้องรอแพทย์ทางด้านนิติเวช ที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เข้าร่วมในการปฎิบัติงาน
โรฮิงญา เหยื่อในเส้นทางลักลอบค้ามนุษย์เถื่อน
นอกจากการค้นพบที่น่าตกใจวันศุกร์นี้ ในป่าตามแนวตะเข็บชายแดนไทยมาเลเซียแล้ว เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีการจับกุมใหญ่ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แรงงานเถื่อนลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวน 76 คน มาจากประเทศพม่า ในกลุ่มนั้น เป็นชาวโรฮิงญา 6 คน ทางการไทยจับกุมได้บนรถไฟ มุ่งหน้าไปยังประเทศมาเลเซีย
โรฮิงญาเป็นชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ หรือ อาระกัน (Rakhine) ของประเทศพม่า
มุสลิมโรฮิงญานับล้านคน พากันหลบหนีจากรัฐยะไข่ เนื่องจากพวกเขาเป็นชาติพันธุ์ที่ถูกกีดกัน ไม่ได้รับการรับรองสัญชาติจากพม่า และบังคลาเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับรัฐยะไข่
เมื่อต้นปี 2555 มุสลิมโรฮิงญาจากรัฐยะไข่ จากพม่า นับพันคนได้หลบหนีจากความขัดแย้งในประเทศตน ทะลักเข้าไทย มีการตรวจพบและจับกุมได้อย่างต่อเนื่อง ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่มีขบวนการค้ามนุษย์ และแรงงานข้ามชาติอยู่เบื้องหลัง โดยใช้พื้นที่ป่าเขาตามตะเข็บชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยเฉพาะอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นแหล่งพักใหญ่ ก่อนส่งชาวโรฮิงญาข้ามไปขายแรงงานในมาเลเซีย
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงญา เป็นประเด็นยืดเยื้อ เพราะทางการไทยไม่สามารถผลักดันกลับประเทศต้นทางได้ เนื่องจากทั้งพม่าและบังคลาเทศไม่ยอมรับว่าเป็นพลเมืองของตน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะมีการจับกุมแรงงานข้ามชาติลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ชาวพม่า 76 คน ในนครศรีธรรมราชนั้น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ลงมติกำหนดเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นแก่ผู้ค้ามนุษย์ ตามพรบ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551
ชาวบ้านที่ปาดังเบซาร์ รายหนึ่ง กล่าวว่า ตลอดที่ผ่านมา ชาวบ้านที่นี่รู้ตลอดว่าบริเวณนั้นเป็นที่พักของชาวโรฮิงญา แต่ไม่สามารถเข้าไปดูได้เพราะกลัวว่ากลุ่มค้ามนุษย์จะทำร้าย
“เรารู้ว่าที่นั่น เป็นที่ที่กลุ่มนายหน้าไปรับชาวโรฮิงญามา แล้วจะนำมาพักไว้ในบริเวณนั้น ก่อนจะพาข้ามฝั่งไปยังมาเลเซีย แล้วไปรอพักไว้อีกจุดหนึ่งในมาเลเซีย ก่อนจะมีคนมารับช่วงต่อไป และเท่าที่ทราบ นายหน้าได้ค่าหัวคนละ 50,000 บาท” ชาวบ้านคนดังกล่าว กล่าวแก่เบนาร์นิวส์