หญิงโรฮิงญานำประท้วง ทุบเรือนนอนในสถานคุ้มครองฯเสียหาย ที่สุราษฎร์ธานี
2015.06.02
คืนวันที่ 1 มิย. 2558 ที่ผ่านมา ที่สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ ภาคใต้บ้านสุราษฎร์ กลุ่มชาวโรฮิงญาร่วมร้อยคนที่ถูกคุมตัว มีแกนนำเป็นหญิงโรฮิงญา 5 คน ได้รวมตัวประท้วงปิดไฟ พร้อมทั้งทุบทำลายประตู หน้าต่าง ของเรือนนอน ไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ ไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปกินในเรือนนอน พร้อมเรียกร้องขอไปประเทศที่สาม โดยระบุขอไปประเทศมาเลเซีย ไม่ขอไปสหรัฐอเมริกา เป็นผลให้ นายวิชวุทย์ จินโต รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย พล.ต.ต.อภิชาต บุญศรีโรจน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรสุราษฎร์ธานี ต้องนำกำลังตำรวจกว่า 50 นาย เข้าคุมสถานการณ์ ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวแกนนำทั้ง 5 คน แยกจากกลุ่ม เพื่อทำการสอบสวน พร้อมนำลวดหนามมาปิดล้อมตัวอาคาร และเพิ่มแสงไฟส่องสว่างรอบตัวอาคาร รวมทั้งจัดกำลังเจ้าหน้าที่ จำนวน 30 นาย เพื่อดูแลและป้องกันการหลบหนี
นายวิชวุทย์ กล่าวว่า “กลุ่มโรฮิงญาที่อยู่สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ ภาคใต้บ้านสุราษฎร์ เป็นผู้หญิง และเด็ก จำนวน 94 คน แยกที่เป็นผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ จำนวน 35 คน นอกนั้นเป็นผู้ที่หลบหนีเข้าเมือง และมีเหตุพยายามหลบหนีออกจากที่ควบคุมมาหลายครั้งแล้ว”
ทางด้าน พล.ต.ต.อภิชาต บุญศรีโรจน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นการก่อเหตุทุบทำลายเรือนนอนในครั้งนี้ เนื่องจากชาวโรฮิงญา เกิดความไม่พอใจที่ทางเจ้าหน้าที่สถานคุ้มครองฯ ไม่อนุญาติให้นำเสบียงอาหารและสัมภาระต่างๆ ที่ได้รับแจกจ่ายเข้าไปเรือนนอน เพราะกลัวว่าจะเป็นการเตรียมการหลบหนี เนื่องจากรั้วด้านหลังของอาคารต่ำ กลุ่มชาวโรฮิงญาจึงปิดไฟ พร้อมส่งเสียงโวยวาย และทุบทำลายข้าวของ มีทั้งประตู และหน้าต่างของเรือนนอน และได้มีการเรียกร้องขอไปประเทศที่สาม พูดชัดเลยว่าประเทศมาเลเซีย และปฏิเสธที่จะไปสหรัฐอเมริกา”
วันที่ 2 มิ.ย. เจ้าหน้าที่สนธิกำลังชุดควบคุมฝูงชน ของตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์กำลังอาสารักษาดินแดนกองร้อยที่ 1 สุราษฎร์ธานี ร่วมกับฝ่ายปกครองทั้งหญิงและชายกว่า 80 นาย เข้าควบคุมพื้นที่ย้ายชาวโรฮิงญา ออกจากอาคารพุมเรียงภายในสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพภาคใต้ ไปยังอาคารอื่น และตรวจค้นเพิ่มเติมที่เรือนนอน เบื้องต้นพบก้อนหินขนาดเล็ก ถูกบรรจุภายในถุงพลาสติกจำนวนหลายถุง เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ชาวโรฮิงญาเตรียมการไว้ทุบทำลายกระจก และปาใส่เจ้าหน้าที่ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบ อาหารจำนวนมาก ที่นำไปกินภายในเรือนนอน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎข้อห้ามของสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ
สำหรับปัญหาผู้อพยพชาวโรฮิงญาที่พักอาศัยอยู่ที่บ้านศรีสุราษฎร์ ซึงที่บ้านศรีสุราษฎร์ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ดูแลเท่านั้น ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้อง หรือดำเนินการใดๆโดยพลการ นอกเหนือจากการดูแลด้านมนุษยธรรม ส่วนจะมีการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลไทย ส่วนการส่งไปประเทศที่สาม ตามที่ชาวโรฮิงญาเรียกร้อง คงต้องรอให้เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ (หรือยูเอ็น) เข้ามาดำเนินการ โดยต้องมีขั้นตอนการคัดกรอง เนื่องจากชาวโรฮิงญาที่พักอาศัยที่บ้านศรีสุราษฎร์ มาจากหลายกลุ่มและหลายพื้นที่