พบหลุมศพแรงงานข้ามชาติ เพิ่มอีกสามสิบหลุม ในแนวป่าเทือกเขาแก้วด้าน อ.หาดใหญ่

โดย ภูชิสส์ พิรุณละออง และ นาซือเราะ
2015.05.07
TH-rohingya-620 ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 จับกุมผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายชาวโรฮีนจา จากแนวป่าเทือกเขาแก้ว ในเขตรอยต่ออำเภอรัตภูมิ-หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558
เบนาร์นิวส์

เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน พบหลุมฝังศพต้องสงสัยว่า เป็นหลุมศพชาวโรฮีนจา ประมาณ 30 หลุม นอกเหนือจาก 32 ศพ ที่ขุดพบจากค่ายกักกันในพื้นที่บ้านตะโล้ะ ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา ในจังหวัดสงขลา สองแห่ง ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพจะทำการขุดหลุมฝังศพ ในวันพรุ่งนี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ออกลาดตระเวนต่อ และพบชาวโรฮีนจา ประมาณ 15 คน เดินอยู่ในชายป่า จึงนำตัวไปสอบสวน เพื่อขยายผลต่อไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบสุสานเก่า ในพื้นที่ ม. 7 บ้านฉลุง ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นเขตรอยต่อ ม. 10 ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา หลังเข้าตรวจสอบ เจ้าหน้าที่พบหลุมฝังศพต้องสงสัยว่าเป็นหลุมศพชาวโรฮีนจา ประมาณ 30 หลุม ขณะที่มีการออกตรวจหาแบบปูพรม ในเทือกเขาแก้ว ตามคำสั่งของรัฐบาลเพื่อค้นหาและจับกุมกลุ่มผู้ค้ามนุษย์ โดยมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ ตรวจสอบในทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้วในเขตปกครองของตน

หลังจากเมื่อวันศุกร์ (1 พ.ค. 58) มีการขุดหลุมศพพบ 26 ศพ ของแรงงานข้ามชาติที่ลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่ค่ายกักกันค้ามนุษย์ในป่าบนเทือกเขาใกล้ชายแดนมาเลเซีย และวันพุธ เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ขุดพบศพเพิ่มอีก 6 ศพ ที่สงสัยว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ที่ปาดังเบซาร์ ในบริเวณใกล้กับที่ขุดพบครั้งแรก

“เมื่อก่อนมีหลุมฝังศพอยู่เพียง 6 หลุมเท่านั้น แล้วย่านนี้ ยังเคยเป็นที่พักพิงขนาดใหญ่ของพวกโรฮีนจาในจังหวัดสงขลาอีกแห่งหนึ่งด้วย” ชาวบ้านที่บ้านฉลุง กล่าวกับเบนาร์นิวส์

ทางภาคใต้ของประเทศไทย เป็นที่รู้กันดีว่า เป็นจุดขนส่งที่สำคัญ สำหรับการลักลอบค้ามนุษย์ ชาวมุสลิมโรฮีนจา ซึ่งเป็นผู้ไร้สัญชาติ หลบหนีจากการถูกประหัตประหาร มาจากประเทศเมียนมา เพื่อส่งต่อไปประเทศมาเลเซีย

อับดุล มาบุด สมาชิกของสมาคมพม่าโรฮีนจาแห่งประเทศไทย กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า เขามีเหตุผล ที่เชื่อว่า ขณะนี้ มีโรฮีนจาอีกจำนวนหลายร้อยคน กำลังเดินทางข้ามทะเล ตรงเข้าฝั่งไทย

เขากลัวเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้โดยสารมาบนเรือ จากทะเลอันดามัน จะถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้าฝั่ง และชีวิตของเพื่อนๆเขาชาวโรฮีนจาก็อาจจะตกอยู่ในอันตราย

"พวกเขาก็จะอยู่บนเรือลอยลำในทะเล ไม่สามารถเทียบท่าได้ ทั้งที่พังงา หรือสตูล และสุดท้ายอาจจะถูกฆ่าตาย และโยนศพทิ้งน้ำ" อับดุล กล่าว

เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวโยงการค้ามนุษย์ จะถูกลงโทษ

เมื่อวันจันทร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย 4 คน อายัดตัวไว้ 1 ราย (เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นไทย 4 ราย จากปาดังเบซาร์ และ ชาวเมียนมา 1 ราย) ในข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

นายประสิทธิ์ เหล็มเหล้ะ รองนายกเทศบาลตำบลปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัว กับ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ศูนย์ปฏิบัติตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้าแล้ว โดยเป็นการขอเข้ามอบตัวแบบเงียบๆ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันเรียกค่าไถ่ ให้รับทราบ แต่ผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธ พล.ต.อ. เอก กล่าวในการแถลงข่าว

ด้าน พล.ต.ต.พุทธิชาต เอกฉันท์ รอง ผบช.ภ.9 กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าของคดีล่าสุดได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 10 คน จากเดิม 8 คน รวมทั้งหมดคดีนี้ได้ออกหมายจับแล้วจำนวน 18 คน แยกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 7 คนและบุคคลทั่วไป 11 คน และสามารถจับกุมตัวได้ 4 คน อายัดตัวไว้ 1 ราย (เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นไทย 4 ราย จากปาดังเบซาร์ และชาวเมียนมา 1 ราย) ดังนั้นวันนี้ยังต้องเร่งติดตามตัวผู้ต้องหาที่เหลือ 13 ราย สำหรับผู้ต้องหา 10 ราย ที่ออกหมายจับเพิ่มในวันนี้ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องเป็นการ์ด หรือ ผู้ที่ดูแลและให้การสนับสนุนกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อว่าเป็นใครบ้าง แต่ยืนยัน ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดไม่มีการละเว้น

นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่รัฐระดับท้องถิ่น ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ กรณีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 12 นาย ประจำปาดังเบซาร์ ถูกคำสั่งย้ายทันที หลังพบว่ามีส่วนในขบวนการการค้ามนุษย์

ในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อวันพุธ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. ประกาศย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 30 นาย จากระนอง สตูล และจังหวัดสงขลา เพื่อทำการสอบสวนเบื้องต้น ในเหตุผลที่คล้ายกัน

"จะไม่ยอมให้มีค่ายกักกันแบบนี้อยู่ในประเทศไทย" พล.ต.อ. สมยศ กล่าวแก่ เอเอฟพี

จับกุมโรฮีนจา

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบสุสานเก่า พบหลุมฝังศพต้องสงสัยว่าเป็นหลุมศพชาวโรฮีนจา อีกประมาณ 30 หลุม ในพื้นที่ บ้านฉลุง ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นเขตรอยต่อ อ.รัตภูมิ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ออกลาดตระเวน ในพื้นที่ ม. 10 บ้านคลองต่อ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ใกล้กับสุสานข้างต้น พบค่ายเก่า เคยเป็นที่พักชาวโรฮีนจา ซึ่งถูกทิ้งร้างมานาน มีร่องรอยของผ้าใบ แคร่ เสื้อผ้าและกระเป๋า รวมทั้งขวดน้ำ อยู่ภายในค่าย ซึ่งตั้งอยู่ในป่าสวนยางพารา และยังพบชาวโรฮีนจา 13 คน เดินอยู่ในชายป่า เทือกเขาแก้ว ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวไปสอบสวน เพื่อขยายผลต่อไป และต่อมาในวันพฤหัสบดี เจ้าหน้าที่ได้จับกุม ชาวโรฮีนจาอีก 2 คน ที่พบในอีกพื้นที่หนึ่งใน อ.รัตภูมิ

นายณรงค์พร ณ พัทลุง นายอำเภอหาดใหญ่ เปิดเผยเมื่อ วันพฤหัสบดีนี้ว่า จากการนำชาวโรฮีนจาทั้ง 13 คน มาสอบสวน ทราบว่าทั้งหมดมาจาก จ.เกาะสอง ประเทศ เมียนมา มากันทั้งหมด 30 คน เป็นชายล้วน ส่วนที่เหลืออีก 17 คน ยังหลบหนีอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่ดังกล่าว

ตามรายงานจาก บางกอกโพสต์ เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบ ชาวโรฮีนจา 17 คน เข้าเมืองผิดกฎหมาย ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน จึงจับกุมไว้

“จากการสอบสวน ทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาจากจังหวัดเกาะสอง ประเทศเมียนมา เดินทางมาด้วยกันสามสิบคน เป็นผู้ชายทั้งหมด เจอตอนที่เขาหลบอยู่ในรอยต่ออำเภอรัตภูมิ-หาดใหญ่” นายณรงค์พร กล่าว

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ศูนย์ปฏิบัติตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากการเปิดปฎิบัติการยุทธการปิดปลายทางสกัดกั้นกลุ่มโรฮิงญาที่่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ได้ร่วมประสานกำลังความร่วมมือกับตำรวจภูธรภาค 8 เข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้รูปแบบการทำงานครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

“โดยยุทธการปิดปลายทางดังกล่าว ได้มีการลาดตระเวน และตรวจสอบเส้นทาง ตั้งแต่ในพื้นที่ จ.สตูล ทั้งพื้นที่ป่า และแนวชายหาด ที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่กลุ่มโรฮีนจาได้ลงเรือ และลักลอบเข้ามาขึ้้นฝั่งในหลายจุดตามแนวชายหาด ก่อนที่จะเดินทางตามเส้นทางธรรมชาติ มายังพื้นที่จังหวัดสงขลา ที่มีการตรวจสอบพบค่ายโรฮีนจาดังกล่าว โดยขณะนี้ จะมีกำลังเจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เดินลาดตระเวนเข้าไปทุกเส้นทาง” พล.ต.อ.เอก กล่าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง