ผู้ก่อเหตุรุนแรงภาคใต้ ยิงแล้วเผาทหาร เสียชีวิต 2 ศพ ที่อำเภอรือเสาะ นราธิวาส
2015.07.16
ในวันพฤหัสบดีที่ 16 ก.ค. 2558 นี้ มีรายงานข่าวเหตุการณ์ยิงทหารแล้วเผาทำลายศพ ในอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส นับเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนถือศีลอดที่จะสิ้นสุดลงในวันศุกร์นี้
ร.ต.ท. อุทัย พันธ์ทอง ร้อยเวร สภ. รือเสาะ จ.นราธิวาส ได้รายงานว่า ตนได้รับแจ้งมีเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม ยิงถล่มใส่รถยนต์กระบะของเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดหมวดปืนเล็กที่ 3 ร้อย ร.15132 ฉก. นราธิวาส 30 บริเวณถนนหน้ามัสยิดบ้านบลูกาฮูรู ม. 4 ต. บาตง ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 2 นาย ก่อนหลบหนีคนร้ายได้ลอบวางเพลิงด้วย
พบรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิซิ สีบรอนส์ ตกเส้นทางไปอยู่ริมถนน ซึ่งอยู่ในสภาพถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายทั้งคัน โดยที่บริเวณเบาะคนขับมีศพของ ส.ท.ประสิทธิ์ นัคราเรือง ถูกไฟไหม้จนเกนียม และมีศพพลทหารยูโซบ เต๊ะหลี อายุ 22 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนถนนในสภาพถูกเพลิงไหม้ดำเป็นตอตะโกเช่นกัน
จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายทั้ง 2 คน ได้ขับรถยนต์กระบะออกไปทำธุระ ในเทศบาลตำบลรือเสาะ เมื่อแล้วเสร็จจึงได้ขับรถยนต์กลับฐาน ถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้าย จำนวน 8 ถึง 9 คน นั่งรถยนต์กระบะขับไล่หลังมา เมื่อสบโอกาสคนร้ายได้ขับแซงขึ้นหน้า แล้วคนร้ายที่นั่งกระบะหลังใช้อาวุธปืนสงคราม เอ็ม.16 และอาก้า ยิงถล่มใส่รถยนต์กระบะที่ทหารทั้ง 2 นาย จากนั้น คนร้ายได้ยึดอาวุธปืนเอ็ม 16 และปืนพก ของผู้ตายไปสองกระบอก
พ.ท. อิศรา จันทร์กระยอม ผู้บัญชาการกรมทหารพราน 41 กล่าวว่า “การก่อเหตุวันนี้ เป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบ ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งเป็นแผนที่วางไว้ควบคู่กับการก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 10 วันสุดท้าย”
กลุ่มแบ่งแยกดินแดนแขวนป้ายต่อต้านรัฐบาลไทย
ในท่ามกลางความพยายามของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุข ที่คาดว่าจะมีการเจรจานอกรอบ หลังเสร็จสิ้นการถือศีลอด ในช่วงเดือนสิงหาคม ในปุตราจายา โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นตัวกลาง กลุ่มผู้ที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ได้ออกมาท้าทายรัฐบาลด้วยการติดป้ายผ้า ที่มีเนื้อความโจมตีประเทศไทยว่า เป็นผู้ล่าอาณานิคม
ในวันนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบป้ายผ้าที่กลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนได้ติดไว้ในพื้นที่ของ 12 อำเภอ ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีข้อความเป็นภาษไทยและภาษารูมี่ (ภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรโรมัน ที่ใช้กันในประเทศมาเลเซีย) มีข้อความ เช่น "พื้นฐานนักล่าอาณานิคมสยามที่ไร้มนุษยธรรม กลับตาลปัตร กับนานาชาติเสมอ"
เหตุเกิดในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี ทั้งหมด 6 อำเภอ ในพื้นที่ จังหวัดสงขลา จำนวน 4 อำเภอ ในพื้นที่ จังหวัดยะลา 2 อำเภอ และในพื้นที่ จ.นราธิวาส อีกสามอำเภอ
ขณะที่แนวร่วมในพื้นที่รายหนึ่ง กล่าวว่า “เหตุการแขวนป้ายผ้า ใน 4 จังหวัด บ้านเราวันนี้ มี 5 ปัจจัยสำคัญ คือ 1. กรณีก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ มีการปล่อยข่าวว่า จะปล่อยตัว นายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ หรือนายสะมะแอ สะอะ ให้ได้รับอิสระก่อนรายอ ซึ่งขณะนี้ ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลาง จ.ยะลา แต่ไม่มีการปล่อยตัว 2. เรื่องอุยกูร์ที่ไทยส่งกลับไปประเทศจีน 3. เรื่องที่ เปอร์มัส และภาคประชาสังคมไปพบแม่ทัพภาค 4 แล้วมีการประโคมข่าวผิดกับข้อเท็จจริง”
ทางด้านหนึ่งในผู้สนับสนุนการเจรจา ที่อยู่ประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า “ประเด็นแรก ป้ายผ้าต้องการแสดงสัญลักษณ์ถึงการเจรจา 2. เรื่องที่รัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน กรณีนี้ ถือว่ามีแรงต้านเยอะมากสำหรับพี่น้องมุสลิม ประกอบกับ ที่ต้องการแขวนป้ายผ้าเพื่อแสดงศักยภาพ ในช่วงนี้ก็เลยมาทำแบบมีนัยยะรวม ๆ กัน”
ผบ.ทบ. ประชุมทางไกล ห่วงสถานการณ์รุนแรง
ในวันนี้ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานการประชุม VTC จากศูนย์ปฏิบัติการทหารบก เป็นวาระพิเศษวันนี้ ภายหลังจากการติดตามสถานการณ์ในห้วงที่ผ่านมา รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเมืองปาดังเบซาร์ โดยกล่าวว่า
“การเรียกประชุมในวันนี้ เพื่อสอบถามความมั่นใจ รับทราบความคืบหน้าคดี และเป็นห่วงในห้วงวันท้าย ๆ ของเดือนรอมฎอน ไม่แน่ใจว่า 16 หรือ 17 ก.ค.นี้ และในวันฮารีรายอ ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยแจ้งเตือนแล้วว่าในวันที่ 15-18 ก.ค.จะเกิดเหตุใหญ่ แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ อยากลงพื้นที่ก็เกรงว่าจะต้องเสียกำลังมาให้การรักษาความปลอดภัย จะส่งผลต่อการดูแลพื้นที่ของหน่วย”
พลเอกอุดมเดช ได้มีคำสั่งให้วางกำลังในพื้นที่ ระวังป้องกันในเขตเมืองที่เป็นวงไข่แดง ต้องเข้มงวดตลอด นำกำลังตำรวจ และเจ้าหน้าที่ในอำเภอ ออกมาช่วยกันดูแล ห้องแถว ห้างร้าน หากปล่อยให้เกิดเหตุจนไฟลุกท่วม ภาพที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการสัญจร การท่องเที่ยว ต้องเช็คกล้องวงจรปิดให้สามารถใช้งานได้จริง
ในวันที่พุธที่ผ่านมา พลโทปราการ ชุลยุทธ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สังการให้รองแม่ทัพภาค 4 ทั้ง 5 นาย ให้ชี้แจงกับทุกหน่วยในการปรับแผนการปฏิบัติการอย่างเคร่งครัด และกล่าวว่า ผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ใช้กลยุทธ์รูปแบบเก่า คือ การขุดหลุมฝังระเบิดใต้ถนน ที่ใช้กับเป้าหมายที่มักเป็น เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หน่วยต้องมีความละเอียดในการตรวจเส้นทาง ตรวจการเชื่อมสาย การลากสายไฟ รวมทั้ง การใช้มาตรการชุดซุ่มเฝ้าตรวจตามเส้นทาง
นอกจากนั้น พลโทปราการ ยังเตือนให้ระวังการนำวัตถุขนาดเล็กเข้ามาก่อเหตุในเมือง “การก่อเหตุรูปแบบใหม่โดยการนำวัตถุระเบิดขนาดเล็กแทรกซึมเข้ามาในเขตเมือง เราจะต้องมีเจ้าหน้าที่สตรีในการตรวจค้นสตรีด้วย”