ศาลอุทธรณ์สั่งคุก 10 ปี ทหารพรานยิงชาวบ้านเขาตะเว เสียชีวิตเมื่อปี 62
2025.01.15
กรุงเทพฯ

ศาลจังหวัดนราธิวาส อ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 10 ปี ทหารซึ่งเป็นจำเลยในคดียิงประชาชนเสียชีวิต 3 ราย บนเทือกเขาตะเว อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อปี 2562 แต่ยกฟ้องอาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) ซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์ เป็นการแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำคุก 4 ปี ทั้งคู่จากข้อหากระทำการโดยประมาท
“พฤติการณ์คือ ระหว่างทหาร และผู้ตาย มีลำธารกั้นอยู่ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดใช้ปืนยิงข้ามฝั่ง โดยอ้างว่า ป้องกันตัวเอง แต่หัวหน้าชุดเป็นคนวิ่งข้ามลำธารไปยิงซ้ำอีก พฤติการณ์ในส่วนนี้ ศาลจึงมองว่า ทำให้เหตุแห่งการป้องกันตัวขาดไป ศาลสั่งว่า ฆ่าโดยเจตนาจำคุก 16 ปี แต่ลดโทษเหลือ 10 ปี เพราะให้การเป็นประโยชน์ต่อคดี” น.ส. พรพิมล มุกขุนทด ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้ กล่าวกับเบนาร์นิวส์
น.ส. พรพิมล เปิดเผยว่า ทีมทนายความกำลังพิจารณาว่าจะมีการยื่นฎีกาในลำดับต่อไปซึ่งเชื่อว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน
“อส. ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ให้การว่า เขายิงปืนเพื่อสกัด ซึ่งไม่ได้ทำให้ผู้ตายเสียชีวิต ศาลจึงยกฟ้องจำเลยที่ 2” ทนายความ ระบุ
คดีนี้สืบเนื่องจาก เหตุการณ์ในวันที่ 16 ธ.ค. 2562 ซึ่งนายบูดีมัน มะลี, นายมะนาเซ สะมะแอ และนายฮาฟิซี มะดาโอะ ชาวบ้านหมู่ 8 ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ได้ขึ้นไปบนเขาตะเวเพื่อตัดและแปรรูปไม้ ระหว่างนั้นได้พบกับเจ้าหน้าที่ชุดจรยุทธ์ของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 แต่ด้วยความเข้าใจผิดทำให้เจ้าหน้าที่ยิงบุคคลทั้ง 3 จนเสียชีวิต
ในเดือน ก.ค. 2566 พนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาสเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ส.ท. ณัฐวุฒิ บุตรทุม จำเลยที่ 1 และ อส.ทพ. สิทธิชัย ส่องช่วย จำเลยที่ 2 ต่อศาลจังหวัดนราธิวาส ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 71/2566
ต่อมาในเดือน ก.พ. 2567 ศาลจังหวัดนราธิวาส พิพากษาจำคุก 6 ปี แก่จำเลยทั้ง 2 คน ในฐานความผิดกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่ให้การเป็นประโยชน์จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา
ในปี 2562 หลังเกิดเหตุ พล.ท. พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ในขณะนั้น ระบุว่า เหตุเกิดจากความเข้าใจผิด จึงได้สั่งให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะในขณะนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น 3-4 นัด เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการยิงตอบโต้ และเมื่อเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบมีผู้เสียชีวิต ส่วนที่เหลือได้หลบหนีไปได้
หลังเกิดเหตุ ชาวบ้านได้รวมตัวกันไปสอบถามเจ้าหน้าที่ถึงกรณีที่เกิดขึ้น แต่ไม่ได้รับคำตอบ ต่อมามีการเผยแพร่ข่าวบนสื่อออนไลน์ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้วิสามัญฆาตกรรม สมาชิกกลุ่มแนวร่วมอาร์เคเค 3 คน พร้อมกับยึดอาวุธปืน แต่ภายหลัง พล.ท. พรศักดิ์ ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการผิดพลาด
“ผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย เป็นราษฎรในหมู่บ้าน มิใช่ผู้ก่อเหตุรุนแรง ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง แต่ได้สำคัญผิดว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง แต่เมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยจะต้องเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมาย” พล.ท. พรศักดิ์ กล่าวในวันที่ 17 ธ.ค. 2562
ต่อมา ศาลจังหวัดนราธิวาส ได้ไต่สวนการตายของทั้ง 3 คน โดยญาติของผู้ตายได้แต่งตั้งทนายความเข้าร่วมซักถาม จนท้ายที่สุดโดยศาลสรุปว่า มีมูลว่าทหารสองนายเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตดังกล่าว นำมาสู่การฟ้องต่อศาล
ในปี 2566 บิดาของนายฮาฟิซี หนึ่งในผู้เสียชีวิต (สงวนชื่อและนามสกุล) เปิดเผยว่า การดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทำให้รู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น
“รู้สึกดีใจมากหายใจคล่องขึ้น คงเริ่มนอนหลับ เพราะมองเห็นความเป็นธรรม ตลอดที่ผ่านมามีความรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้ยินทหารพูดว่า เข้าใจผิด ยิงผิดตัว แล้วทำไมยิงผิดตัวถึง 3 คน มันไม่ใช่เลย” บิดาของนายฮาฟิซี กล่าวกับเบนาร์นิวส์
ในอดีตได้เกิดเหตุการณ์ยิงผิดตัว อย่างน้อย 4 ครั้ง หากรวมกับคดีนี้ ประกอบด้วย เหตุเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2555 เจ้าหน้าที่ทหารพรานยิงชาวบ้าน ขณะเดินทางไปละหมาดศพ เหตุเกิดใน ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 4 ราย และมีผู้รอดชีวิต 1 ราย
เหตุเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2558 เจ้าหน้าที่ยิงชาวบ้านเสียชีวิต 2 ราย และนักศึกษามหาวิทยาลัยฟาฏอนี เสียชีวิตอีก 2 ราย ระหว่างการปิดล้อมหมู่บ้านโต๊ะชุด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เพื่อค้นหาผู้ก่อความไม่สงบ และ เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2560 ซึ่งชาวบ้านถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ขณะนั่งรถยนต์กระบะ เพราะเจ้าหน้าที่ทหารที่ด่านตรวจเข้าใจผิดสงสัยว่าเป็นรถยนต์ของคนร้ายขับผ่านด่าน เหตุเกิดบริเวณ ต.กระเสาะ อ.มายอ จ.ปัตตานี
“นับเป็นคดีแรกที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงถูกดำเนินคดีอาญา เป็นครั้งแรกที่ทหารได้ขึ้นศาลพลเรือนจากการใช้อาวุธสังหารชาวบ้าน ถือเป็นบรรทัดฐานที่ดีในการสร้างความเป็นธรรมให้กับชาวบ้าน แต่ก็ยอมรับว่า กรณีนี้อาจเป็นกรณีเฉพาะ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นทั่วไป เพราะตั้งแต่โควิด-19 ระบาดมีคนถูกสังหารกว่า 90 ราย ก็ไม่มีคดีอื่นที่ต้องขึ้นศาล ต้องขอบคุณอัยการ และตำรวจที่ทำให้ชาวบ้านยังพอเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมได้” น.ส. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวกับเบนาร์นิวส์